คาเฟอีนคืออะไร กับประโยชน์ต่าง ๆ ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน | Nespresso

Skip to content

Header

You are on the main content








คาเฟอีนคืออะไร กับประโยชน์ต่าง ๆ ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

คุณคือคนหนึ่งที่ต้องดื่มกาแฟทุกเช้าใช่หรือไม่ คุณรู้สึกอยากดื่มอะไรหวาน ๆ ให้สดชื่น และเรียกพลังก่อนเริ่มงานใช่หรือเปล่า เหล่านี้คือสัญญาณที่บอกว่าร่างกายของคุณกำลังต้องการคาเฟอีน เพราะคาเฟอีนคือสารสำคัญที่ช่วยเร่งเครื่องให้สมองปลอดโปร่ง ร่างกายกระปรี้ประเปร่า และเป็นตัวช่วยที่ดีในการเริ่มวันใหม่ของใครหลายคน



คาเฟอีนคืออะไร


คาเฟอีนคือสารอัลคาลอยด์ชนิดหนึ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติ พบมากในเมล็ดกาแฟ ใบชา โกโก้ และถั่วโคล่า สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้รวดเร็ว และเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะเข้าไปขัดขวางการทำงานของสารอะดีโนซีน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทชนิดหนึ่งที่ทำให้รู้สึกง่วง จึงกล่าวได้ว่าคาเฟอีนคือสารแก้ง่วง ที่ทำให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ตื่นตัว และยังลดความเสี่ยงในการเกิดโรคซึมเศร้าได้ด้วย








แหล่งของคาเฟอีน


แม้ว่าคาเฟอีนคือสารที่เรารับประทานเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย และพบได้จากอาหารและเครื่องดื่มที่เราบริโภคกันอยู่ทุกวัน แต่ที่จริงแล้วคาเฟอีนมีที่มาจาก 2 แหล่งคือ คาเฟอีนจากธรรมชาติ และคาเฟอีนสังเคราะห์



1. คาเฟอีนธรรมชาติ มาจากเมล็ดกาแฟ ชา โกโก้ และถั่วโคล่า โดยเมื่อเทียบปริมาณคาเฟอีนต่อน้ำหนัก 100 มิลลิลิตรเท่ากันจะพบว่า อันดับหนึ่งของเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนคือ กาแฟ ที่มากที่สุดถึง 40 มิลลิกรัม รองลงมาคือ ชา มีคาเฟอีน 20 มิลลิกรัม อันดับถัดมาคือถั่วโคล่า มีคาเฟอีน 8 มิลลิกรัม และช็อคโกแลตร้อนซึ่งทำจากโกโก้มีคาเฟอีนเพียง 3 มิลลิกรัม (ที่มา: Food Data Central ,USDA)



2. คาเฟอีนสังเคราะห์ คิดค้นมาเพื่อแก้ปัญหาความต้องการคาเฟอีนที่เพิ่มขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สารคาเฟอีนที่สังเคราะห์ขึ้นจะคล้ายกับคาเฟอีนตามธรรมชาติ ออกฤทธิ์เร่งความสดชื่นได้พอกัน แต่คาเฟอีนสังเคราะห์จะดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ไวกว่าคาเฟอีนธรรมชาติ และมักนำไปเติมแต่งในเครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลม เครื่องดื่มบำรุงกำลัง หรือเครื่องดื่มชูกำลังตามท้องตลาด



ประโยชน์ของคาเฟอีน


ตามที่กล่าวมาข้างต้นว่า ประโยชน์ของคาเฟอีนคือการเติมความสดชื่นให้กับร่างกาย แต่มากไปกว่านั้น คาเฟอีนยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพในอีกหลายด้าน อาทิ



1. เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง


เพราะนอกจากทำให้สมองแจ่มใสแล้ว คาเฟอีนก็มีผลต่ออารมณ์ ความจำ การตอบสนองของระบบประสาท และช่วยให้ใช้พลังความคิดได้ดียิ่งขึ้น ที่สำคัญยังลดความเสี่ยงการเกิดโรคอัลไซเมอร์และพาร์กินสัน ซึ่งมีสาเหตุมาจากการทำงานที่ผิดปกติของสมอง



2. เพิ่มสมรรถภาพร่างกาย


คาเฟอีนจะช่วยเพิ่มระดับอะดรีนาลีน ฮอร์โมนที่ช่วยเตรียมความพร้อมให้กับร่างกายเมื่อต้องเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายอย่างหนัก และยังช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกาย ทำให้เหนื่อยช้าลง



3. ช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานดีขึ้น


จากการศึกษาพบว่าคาเฟอีนช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญให้กับร่างกายได้ อย่างไรก็ตาม ควรระวังส่วนผสมอื่นๆ ในเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนอย่างนม และน้ำตาลด้วย



4. บรรเทาอาการปวด


จากการศึกษาพบว่า คาเฟอีนสามารถใช้ร่วมกับยาแก้ปวดเพื่อลดอาการปวดได้ โดยเฉพาะอาการปวดหัวจากไมเกรนและความเครียด และแพทย์ยังใช้ฉีดเข้าเส้นเลือด หรือให้ผู้ป่วยรับประทานคาเฟอีน เพื่อป้องกันอาการปวดหัวหลังผ่าตัด และอาการปวดหัวหลังฉีดยาชาเข้าทางช่องเหนือไขสันหลัง เป็นต้น



5. ลดความเสี่ยงเกิดนิ่วในถุงน้ำดี


คาเฟอีนมีส่วนกระตุ้นการหดตัวของถุงน้ำดีและการไหลเวียนของน้ำดี หากรับประทานคาเฟอีนต่อเนื่องประมาณ 400 มิลลิกรัมต่อวัน อาจลดความเสี่ยงเกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้



6. ลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งบางชนิด


เพราะคาเฟอีนมีสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งบางชนิดได้ โดยเฉพาะโรคมะเร็งตับ ซึ่งเคยมีงานวิจัยระบุว่า คาเฟอีนช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งตับได้ถึง 40 เปอร์เซ็นต์



ผลข้างเคียงจากคาเฟอีน


แม้จะมีข้อดีมากมาย แต่หากรับประทานคาเฟอีนมากเกินไปก็ต้องระวังผลข้างเคียงจากคาเฟอีนคือ อาจทำให้นอนไม่หลับ หรือคุณภาพการนอนลดลง ความเมื่อยล้าที่ตามมาหลังจากดื่มคาเฟอีนและใช้ร่างกายอย่างหนัก กล้ามเนื้อและกระดูกเสียหาย เนื่องจากคาเฟอีนทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้น้อยลง นอกจากนี้คาเฟอีนอาจทำให้ความดันโลหิตสูง และมีอาการใจสั่น รวมทั้งควรระมัดระวังการดื่มคาเฟอีนในกลุ่มสตรีมีครรภ์ เพราะอาจส่งผลให้ทารกในครรภ์มีน้ำหนักตัวน้อยลง หรืออาจแท้งลูกได้








ปริมาณคาเฟอีนที่เหมาะสมกับร่างกาย


สำหรับวัยผู้ใหญ่สามารถรับประทานคาเฟอีนได้ในปริมาณ 300 – 400 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเทียบเท่ากับกาแฟประมาณ 3 – 4 แก้ว โดยช่วงเวลาที่แนะนำคือหลังจากตื่นตอนประมาณ 1 ชั่วโมง เพราะหลังตื่นนอนร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลที่ช่วยให้ร่างกายตื่นตัวออกมา จึงควรดื่มกาแฟเรียกความสดชื่นหลังจากฮอร์โมนคอร์ติซอลชะลอการหลั่งลง และไม่ควรดื่มกาแฟช่วงเย็นหรือค่ำ ให้เว้นช่วงเวลาก่อนเข้านอนประมาณ 4 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้คาเฟอีนส่งผลต่อการนอนหลับอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากการดื่มกาแฟ ก็ควรระวังการดื่มเครื่องดื่มอื่น ๆ ที่มีคาเฟอีนด้วย หากเป็นเครื่องดื่มชูกำลังไม่ควรดื่มเกินวันละ 2 ขวด หรือเท่ากับน้ำอัดลมประมาณ 10 กระป๋อง ที่สำคัญต้องคำนึงถึงปริมาณน้ำตาล หรือส่วนประกอบอื่น ๆ ในเครื่องดื่มด้วย



หากคุณคือคนหนึ่งที่ดื่มกาแฟเป็นประจำทุกวัน แน่นอนว่าต้องได้รับความสดชื่น กระปรี้กระเปร่าจากคาเฟอีนที่อยู่ในกาแฟ และยังได้ประโยชน์อีกหลายต่อจากคาเฟอีนที่ดีกับสมองและร่างกาย แต่จะให้ดียิ่งขึ้น ก็ต้องได้ดื่มด่ำรสชาติของกาแฟไปพร้อมกันด้วย ซึ่งคุณสามารถเลือกได้จากกาแฟแคปซูลคุณภาพเยี่ยม หรือสูตรกาแฟที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว